อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
วันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2558
กิจกรรม
รูปแบบการจัดการศึกษา
การศึกษาปกติทั่วไป ( Regular Education )
การศึกษาพิเศษ ( Special Education )
การศึกษาแบบเรียนร่วม ( Integrate Education หรือ Mainstreaming )
การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสม
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม ( Integrate Education หรือ Mainstreaming )
การเรียนร่วมเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือพิการได้เข้าเรียนรู้สังคมและสิ่งแวดล้อมของชั้นเรียนเด็กปกติ เพื่อให้ปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ จากการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและจากการทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน นโยบายการศึกษาชาติได้ให้โอกาสทางการศึกษาแก่คนไทยทุกคนให้สามารถเรียนได้ในทุกที่ที่เปิดเรียนทั้งคนปกติและคนไม่ปกติซึ่งหมายถึงผู้พิการ ผู้มีปัญหาสุขภาพ และเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ทั้งนี้ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันทางสังคม เกิดการยอมรับในความเป็นมนุษย์ สร้างความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันนับเป็นนโยบายการศึกษาที่สร้างสรรค์ความเป็นคน และความสมบูรณ์ทางสังคม แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้กำหนดนโยบายทางการศึกษาต้องคำนึงถึงและนำมาพิจารณาให้เป็นรูปธรรมคือ การสร้างโอกาสทางการศึกษาและการสร้างความเป็นคนที่เข้าใจกันและเมตต่านั้นต้องเกิดจากการพัฒนากรอบการดำเนินงานอย่างมีแบบแผน มิใช่เพียงเพื่อได้กระทำ แต่ต้องเป็นการกระทำผ่านการพิจารณาถึงมาตรฐานการศึกษา และสร้างความเป็นไปได้ที่มีคุณค่าแท้จริงด้วย..... อ่านต่อได้ที่ การเรียนร่วม
การเรียนร่วมบางเวลา
การเรียนร่วมบางเวลานั้นเหมาะกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษในระดับปานกลางถึงมาก เด็กจะมีครูมาคอยอยู่ด้วยตลอดที่ทำกิจกรรม กิจกรรมที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมเคลื่นไหวและจังหวะ เนื่องจากเด็กในระดับนี้ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองหรือเรียนรู้ได้เท่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษปกติ
การเรียนร่วมเต็มเวลา
เด็กที่สามารถเรียนร่วมได้เต็มเวลานั้นจะอยู่ในระดับที่ปกติสามารถเรียนรู้ได้ดีและสามารถอยู่ร่วมกับเด็กปกติได้ดี
ความหมายของเด็กพิเศษแบบเรียนรวม ( Inclusive Education )
การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การรับเด็กเข้ารับการศึกษาโดยไม่แบ่งแยกความบกพร่องของเด็ก หรือคัดแยกเด็กที่ด้อยว่าเด็กส่วนใหญ่ออกจากชั้นเรียน แต่จะใช้การบริหารจัดการและวิธีการในการให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาการตามความต้องการ จำเป็นอย่างเหมาะสมเป็นรายบุคคล อ่านต่อได้ที่ : เด็กเรียนรวม
พอจบการเรียนในสไลด์นี้แล้วอาจารย์ให้พวกเราวาดรูปดอกชบาพร้อมเขียนการสังเกตจากรูปดอกชบา
บทบาทครูในห้องเรียนรวม
ครูไม่ควรวินิจฉัยเด็ก ( อย่าตั้งฉายาให้เด็ก เพราะเด็กถือว่าเข้ามีชื่อทำไมต้องเอาชื่ออื่นมาตั้งให้เขาอีก ฉ
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก ( ถ้าตั้งชื่ออื่นให้กับเด็ก เด็กอาจจะกลายเป็นเช่นนั้น )
ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ ( ควรเล่าเรื่องดีดีให้พ่อแม่ของเด็กฟัง แล้วค่อยเล่าเรื่องที่เด็กทำไม่ปกติให้พ่อแม่ฟังที่หลัง )
ครูทำอะไรบ้าง
สังเกตอย่างมีระบบ
ครูสังเกตอย่างมีระบบได้ดีที่สุด
ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆเป็นเวลานาน
ครูต้องจำชื่อเด็กให้ได้ทั้งหมด
การตรวจสอบ
ทราบพฤติกรรมของเด็ก
เป็นแนวทางที่ครู พ่อ แม่เข้าใจเด็ก
บอกได้ว่าเด็กต้องการความช่วยเหลือเรื่องใด
ขอควรระวังในการปฏิบัติ
ไว้ต่อความรู้สึก
ประเมินให้มีน้ำหนักความสำคัญในเรื่องจ่างๆได้
พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ปรากฎเสมอไป
การบันทึกการสังเกต
การนับอย่างง่ายๆ
นับการเกิดพฤติกรรมในแต่ละวันว่าเกิดกี่ครั้งต่อ วัน/ชั่วโมง และเกิดกี่นาที
การบันทึกต่อเนื่อง
ให้รายละเอียดได้มาก เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเลานึง ไม่ต้องไปเสนอแนะ
การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
บันทึกลงบัตรเล็กๆ เป็นการบันทึกสั้นๆ
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
เอาใจใส่ในความมากน้อยในควา่มบกพร่องมากกว่าชนิดของความบกพร่อง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในเด็กทุกคนไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
การตัดสินใจ
ตัดสินด้วยความระมัดระวัง
พฤติกรรที่เกิดขึ้นขัดขวางการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่
การนำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำไปใช้ในการฝึกสังเกตเด็กได้ และยังสามารถนำเพลงที่อาจารย์ให้ไปใช้ร้องกับเด็กหรือไปใช้ในรายวิชาอื่นๆได้
ประเมินอาจารย์
อาจารย์สอนได้อย่างเข้าใจ และมีการนำรูปภาพของนักศึกษาในห้องมาประกอบการเรียนให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกด้วย
ประเมินตนเอง
เข้าใจที่อาจารย์สอน มีแอบคุยกับเพื่อนบ้าง สนุกกับการเรียนในวันนี้เป็นอย่างมาก
ประเมินเพื่อน
เพื่อนตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงานที่อาจารย์ให้ทำกันอย่างเต็มที่
เนื้อเพลงที่อาจารย์แจกให้นักศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น